เป็นที่รู้กันว่าทุกครั้งที่ Civilization ออกภาคใหม่ ในช่วงเกมปล่อยวันแรกเราก็มักจะคุ้นเคยกับความเห็นของผู้เล่นประมาณว่า "กลับไปเล่นเกมภาคเก่าดีกว่า" ไม่ก็ "เกมภาคใหม่มันแย่ สู้ภาคเก่าไม่ได้เลย" ซึ่งตอนเกมภาค 6 ออกหลายความเห็นก็บอกว่าเกมภาค 5 ดีกว่า และก็แน่นอนเมื่อเกมภาค 7 ออก ความเห็นแนวๆนี้ก็คงจะมีอยู่ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเรื่องของอารมณ์ผู้เล่นที่รู้สึกเกิดการเปรียบเทียบว่าของใหม่มันควรจะต้องดีกว่าของเก่าซิ แต่เอาจริงๆ ก็คงไม่ใช่ในช่วงที่เกมออกวันแรก เพราะซีรีส์ Civ นั้นถ้าคุณสังเกตุดีๆ ตัวเกมจะสมบูรณ์แทบจะทุกด้านก็ต่อเมื่อมีการปล่อย Expansion ออกมา 2 ตัวเสมอ ทั้งภาค 5 และ 6 ก็เป็นแบบนั้น ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่คนจะรู้สึกว่าตัวเกมภาค 6+2ตัวเสริม จะดีกว่าภาค 7 หลักแบบเพียวๆ

ท่ามกลางกระแสความรู้สึกของผู้เล่นที่ปะปนกันทั้งที่ว่าเกมมันดีและห่วย โดยส่วนตัวแล้วหลังจากใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในการพยายามเรียนรู้สิ่งที่แตกต่างของเกมภาคนี้ ผมบอกตรงๆว่า Civ ภาค 7 นั้น ไม่ได้สร้างความประทับใจในครั้งแรกที่เล่นนัก ออกแนวไม่รักก็อาจจะเกลียดเลย ทั้งๆที่ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะเปิดใจกับซีรีส์นี้ในทุกภาค แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึก "อิหยั๋งวะ!?" กับฟีเจอร์บางอย่าง เรียกว่าจูบแรกก็ไม่ประทับใจจนเกือบจะคืนเงินแล้ว แต่...หลังจากลองพยายามทำความรู้จักมัน ผมก็เข้าใจแนวคิดของ Dev ที่พยายามจะนำเสนอสิ่งใหม่ในภาคนี้ เพียงแต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่สมเหตุผลอยู่ซึ่งมันทำให้เกมมันดูไม่น่าประทับใจนักเมื่อลองเล่นในตอนแรกซึ่งก็คือ ระบบตัวผู้นำหรือ Leader

ด้วยความที่ภาค 7 ปรับเปลี่ยนมาใช้การสร้างอารยธรรมตามอัธยาศัยของผู้เล่นแบบเดียวกับเกม Humankind คุณสามารถดึงเอาจุดเด่นของวัฒนธรรมสร้างเป็นของตัวเองได้ผ่านการเล่น 3 ยุค และตัวเลือกวัฒนธรรมในยุคสุดท้ายที่คุณเลือก ก็จะเป็นตัวบ่งบอกว่าชาติของคุณนั้นคือชนชาติอะไร คอนเซปท์นี้ฟังดูมันก็ค่อนข้างจะเข้าท่าเพราะให้อิสระแก่ผู้เล่นที่อยากจะ Mix&Match เอาข้อดีต่างๆมาสร้างเป็นชนชาติตัวเอง และมันจะโอเคมากถ้าเกมนี้ไม่มีการเลือกผู้นำที่เป็นตัวละครบุคคลสำคัญจากชาติต่างๆ และแทนที่ด้วยตัวละครสร้างเองหรือคนไร้ชื่อไร้หน้าตาอะไรก็ว่าไป เพราะตัวผู้นำนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้อารมณ์เกมมันดูไม่ Make sense เอามากๆ ยกตัวอย่างเช่น ผมเริ่มต้นด้วยการเลือกเจ้าหญิงฮิมิโกะจากญี่ปุ่น พอเริ่มเกมในยุคแรกสุด วัฒนธรรมที่เกม "แนะนำ" ให้เลือกเล่นมี 2 ชาติ ซึ่งก็คือ เขมร กับ Mississippian ซึ่งมันไมได้มีความใกล้เคียงอะไรกับญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย และเมื่อคุณเลือกเขมรเป็นวัฒนธรรมแรก เมืองที่คุณสร้างขึ้นก็จะเป็นชื่อเขมร คุณได้คุณสมบัติของช้างที่ใช้รบและยูนิต "ยุทธหัตถี" มาใช้แถมด้วย BGM สไตล์ไทยเดิม เพียงแค่นี้คุณก็อาจจะรู้สึกแปลกๆล่ะว่า ทำไมญี่ปุ่นมีช้างวะ? มีระบบยุทธหัตถีอีกต่างหาก ชื่อเมืองก็เขมร แล้วชาวปลาดิบเกี่ยวอะไรกับเขมร? นี่คือสิ่งที่มันอิหยั๋งวะมากในโมเมนต์แรกที่ผมรู้สึก และกว่าคุณจะมีตัวเลือกให้เป็น Meji Japan ได้ คุณก็ต้องทนเล่นฝ่าฟันไปจนถึงยุค 3 และถ้าไปถึงตรงนั้นคุณอาจจะไม่เลือกเล่นเป็น Japan ก็ได้ โดยลองมาเลือกเป็น Siam แทน สุดท้ายคุณก็จะได้เจ้าหญิงฮิมิโกะแห่งอาณาจักรสยามที่มีกรุงเทพเป็นเมืองหลวงพร้อมกับภูเขาไฟฟูจิที่อาจจะตั้งอยู่กลางอ่าวไทย!! การที่เกมมันมาทรงนี้แปลว่าตัวผู้นำเองก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากไปกว่า "หมาก"ตัวนึงในเกมที่มีสเตตัสเริ่มต้นแตกต่างกันแค่นั้น (แต่เล่นไปก็อัพเวลได้นะ) คุณจะโอเคกับการเล่นหากสามารถมองข้ามเรื่องรูปลักษณ์และอัตลักษณ์ของผู้นำในเกมได้ เพราะจุดนี้คือสิ่งที่โคตรจะไม่สมเหตุผลที่สุดในตัวเกม หากมองข้ามสิ่งนี้ไม่ได้ เล่นยังไงก็อาจไม่สนุก เพราะผมก็นึกไม่ออกว่าต่อให้มีตัวเสริมออกมาอีก 2 ตัว มันจะแก้ไขความรู้สึกนี้ได้ยังไง

เรื่องของคอนเทนด์ไม่เยอะมาก แผนที่ปรับแต่งได้ไม่เยอะสำหรับซีรีส์นี้ที่ปล่อยวันแรก ผมไม่ติดเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติสำหรับเกมหลักทุกภาคที่ยังไม่มีตัวเสริม ส่วนเรื่อง UI ที่ให้ความรู้สึกเหมือนคอนโซลที่หลายคนว่า ผมก็ไม่ติดเรื่องนี้เช่นกัน เพราะมันก็มีประโยชน์เมื่อต้องเล่นบน Steam Deck ตัวเกมยังคงอาศัยการทำความเข้าใจระบบและอ่านคำแนะนำเยอะเหมือนทุกภาค และเกมมีบทสอนส่วนต่างๆตลอดการเล่นไม่ขาด มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าคุณจะเล่นไม่ได้ ไม่เข้าใจ หากคุณอ่านคำแนะนำที่เกมทยอยขึ้นให้ตลอด ยิ่งถ้าคุณมีพื้นในการเล่น Civ ภาคอื่นมาอยู่แล้ว การเล่นก็ไม่ได้ยากอะไร กราฟิกและอนิเมชั่นได้รับการปรับปรุงให้สวยงามดีขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่องของการสร้างเมืองในแต่ละช่องที่สถาปัตยกรรมแต่ละอย่างมีรายละเอียดจนมองเห็นได้ชัดๆ Performance ของตัวเกมดีงาม ไม่มีปัญหาใดๆ รองรับ HDR รองรับ Steam Deck และก็เล่นได้ลื่นไหลเช่นกัน แต่เกมก็ยังไม่รองรับ Steam Cloud เช่นเดิม

สิ่งที่เปลี่ยนไปในเกมนี้แบบคร่าวๆ ได้แก่ คนเถื่อนถูกตัดออกไปแทนที่ด้วยชนเผ่าที่อาจเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู ระบบสร้างถนนอัตโนมัติที่จะเชื่อมระหว่างเมืองให้เอง ไม่มีการสร้าง Worker อีกแล้ว ยูนิต Scout ไม่มีระบบ Auto ในการสำรวจแต่เพิ่มลูกเล่นในสร้างหอคอยเปิดแผนที่มาแทน เพิ่มยูนิต Commander ให้คุมกองทหารและจัดทัพในการบุกหรือตั้งรับสะดวกขึ้น ตัวเกมมีอีเวนท์พิเศษตลอดการเล่นที่ต้องอ่านและเลือกตอบเพื่อรับโบนัสต่างๆ ตัวเลือกการทูตมีมากขึ้นและส่งผลกันเป็นลูกโซ่ มีระบบภัยพิบัติต่างๆ มาให้เลยเสร็จสรรพเหมือนยก Gathering Storm จากภาค 6 มายัดไว้ในเกมหลัก และจุดเด่นที่สุดของภาคนี้ก็คือ การยกเครื่องเรื่องการสร้างและบริหารเมืองที่เกือบจะใหม่ทั้งหมด โดยจะแบ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองรองเหมือนเดิมเพียงแต่คุณจะมีอิสระในการสร้างในเมืองหลวงเท่านั้น เมืองรองจะมีระบบ Focus เพื่อให้เมืองพัฒนาอัตโนมัติหรือไม่ก็ต้องใช้เงินซื้อสิ่งก่อสร้างวางลงไปแทน ตัวเกมหยิบเอาระบบการสร้างแบบ Tile ต่อ Tile มาต่อยอดให้ลึกมากขึ้น ทุกครั้งที่เมืองเลื่อนระดับ คุณจะสามารถเลือกสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อให้คนลงไปอยู่อาศัยในช่องรอบๆเมืองได้ ซึ่งมันจะเป็นอะไรก็จะขึ้นอยู่กับช่องนั้นๆให้โบนัสอะไร และถ้าสร้างบนทรัพยากรพิเศษ ทรัพยากรจะถูกดึงมาใช้ทันที และคุณยังสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างพิเศษสไตล์ District ทับลงไปในช่องเหล่านี้ได้เพื่อสร้างโบนัสที่มากขึ้น และเมื่อคุณสร้างจนไม่มีพื้นที่จะสร้างอะไรอีกต่อไป การเลื่อนระดับของเมืองก็จะอนุญาติให้คุณส่งผู้เชี่ยวชาญลงไปเพิ่มโบนัสในแต่ละช่องได้อีก ส่วนการข้ามยุคสมัยนั้นก็มีความลึกมากขึ้น คุณต้องทำตามเงื่อนไขในแต่ละหมวดหมู่เช่น Culture, Science หรือ Military ให้ครบ ยุคสมัยถึงจะเปลี่ยนไป และเควสบางอย่างตลอดการเล่นก็จะช่วยปลดล็อกวัฒนธรรมใหม่ให้คุณเลือกระหว่างการข้ามยุคด้วย

อยากจะเขียนยาวกว่านี้แต่ที่ไม่พอแล้ว เอาเป็นว่าท้ายที่สุดถ้าถามว่ามันยังคงให้ความรู้สึก One More Turn เหมือนเดิมมั้ย? ก็คงตอบได้เลยว่า ใช่! แม้มันจะเป็นภาคที่สร้างความประทับใจในสัมผัสแรกได้ไม่ดีนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเล่นได้สนุกและรวมๆแล้วมันก็มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือเรื่องความสมเหตุผลอย่างที่กล่าวไป เกมเพลย์ส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะการจัดการเมือง วัฒนธรรมยังคงทำได้อย่างน่าสนใจ บางส่วนลดทอนลงได้อย่างพอดี ในขณะที่บางส่วนก็ลึกมากขึ้น คละเคล้ากัน แม้มันจะเหมือนการหยิบเกมภาค 6 มาพ่วงด้วยระบบของเกมอื่นแต่สุดท้ายมันก็ยังคงมีความเป็น Civ อยู่เหมือนเดิมไม่มากก็น้อย หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณยังรู้สึกไม่ค่อยโอเคแต่ก็สนใจอยู่ รู้สึกว่ามันเหมือน Early Access คุณอาจจะลองให้โอกาสมันอีกครั้งเมื่อตัวเสริมมาครบหรือรอลดราคาก็ได้ เกมมันไม่ได้แย่เหมือนที่คนบ่นกันแต่มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะถูกใจคุณมั้ย อันนี้คงต้องลองเล่นดูเองจริงๆ

Ghost of Tsushima นับว่าเป็นเกมม้ามืดมาแรงอย่างคาดไม่ถึงในวันที่มันวางจำหน่ายครั้งแรกบน PS แม้เกมเพลย์หลักจะยังคงยกเอาระบบที่คุณเคยเห็นมาแล้วจากเกมอื่นมาประยุกต์ใช้ แต่ตัวเกมก็นำเสนอได้อย่างโดดเด่นกว่า น่าสนใจมากกว่า หรือจะพูดตรงๆ ก็คือ "มันดีกว่า" เกมแนวเดียวกันที่คุณเคยเห็นมาก่อน ส่วนหนึ่งคือบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นในเกมไหน เรื่องราวในแบบที่ค่ายเกมส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าหยิบมาทำ และที่ดีกว่านั้นคือตัวเกมได้สร้างนวัตกรรมใหม่บนฟีเจอร์เดิมๆ ที่เคยมีมานานแล้วอย่างการทำให้ Marker ที่ใช้บอกตำแหน่งเควสบนแผนที่ให้ล่องหนหายไป และเปลี่ยนมาใช้การนำทางด้วย "สายลม" ที่จะพัดใบไม้ใบหญ้าไปยังตำแหน่งเควสที่คุณระบุไว้เป็นการบอกทางแทน ฟังดูมันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่าสนใจอะไรใช่มั้ยล่ะ? แต่เชื่อเถอะว่าถ้าคุณได้เล่นเกมนี้ ได้สัมผัสฟีเจอร์ที่ว่าเต็มๆ คุณจะรู้สึกเกลียดเครื่องหมายบอกตำแหน่งเควสบนหน้าจอที่รกหูรกตาในเกมอื่นไปเลยทันที ระบบนี้ทำให้ประสบการณ์ที่ Ghost of Tsushima มอบให้ผู้เล่นนั้น มีความ Immersive มากๆ เพราะ HUD บนหน้าจอมันแทบจะโล่งสะอาดตลอดเวลา มีเพียงเวลาสู้กับเหล่าศัตรูที่หลอดเลือดจะแสดงขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น
https://gtm.steamproxy.vip/sharedfiles/filedetails/?id=3247945682
โลกของเกมนั้นถูกออกแบบมาได้อย่างงดงามมากๆ สภาพแวดล้อมต่างๆ ตระการตาอย่างที่คุณไม่เคยเห็นที่ไหน อาทิ ทุ่งหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกหญ้าพริ้วซึ่งตามแรงลมยาวสุดลูกหูลูกตา ทางเดินที่เต็มไปด้วยใบต้นแปะก๊วยสีทองเหลืองอร่าม ถ้าคุณชอบงานศิลป์สไตล์เอเชียที่มีการผสมผสานธรรมชาติของภูมิประเทศญี่ปุ่น ตลอดการเล่นก็แทบจะเป็นการเสพอาหารตาไปโดยปริยาย เรียกว่าแค่กดมาเดินดูวิวก็โคตรจะคุ้มแล้ว และเพลงประกอบของเกมนี้ในหลายๆ ส่วนก็ช่วยส่งเสริมอารมณ์เกมให้ดียิ่งขึ้นไปด้วย สำหรับผมนอกจากเกมเพลย์ที่น่าสนใจแล้ว งานศิลป์และการถ่ายทอดบรรยากาศของตัวเกมนี่แหละคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด และยังดึงดูดให้ผมอยากจะกลับมาสัมผัสเกมนี้อีกครั้งบน PC แม้จะเคยเล่นบน PS จบไปหลายตลบมาก่อนแล้วก็ตาม

เรื่องราวของเกมนำเสนอผ่านตัวละครอย่าง "Jin Seki" หนุ่มซามูไรที่กังขาในวิถีแห่งนักรบซึ่งต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ควรทำ เล่าเรื่องผ่านเค้าโครงจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่ถูกนำมาบิดเรื่องราวให้แตกต่างออกไปตามสไตล์ "What if?" ตัวเกมบน PC เป็นเวอร์ชั่นเดียวกับตัว PS5 ที่มาพร้อมตัวเสริมของเกม โหมด Co-op และการปรับปรุงหลายอย่าง อาทิ ฟีเจอร์เด็ดๆบน PC คล้ายกับเกมที่อื่นๆที่ปล่อยมาแล้ว เช่น ตัวเลือกกราฟิกที่ยืดหยุ่นแบบ PC รองรับจอกว้าง รองรับฟีเจอร์ของ Dual-sense เต็มรูปแบบ เป็นต้น เกมเพลย์ส่วนต่อสู้ให้อิสระแก่ผู้เล่นที่จะเลือกเล่นแบบ "ลุย" หรือ "ลอบเร้น" ได้อย่างอิสระ ยกเว้นภารกิจหลักที่จะบังคับวิธีการเล่น ดังนั้นผู้เล่นจึงสามารถผสมผสานวิธีที่คุณต้องการจะเล่นได้อย่างเรียบเนียน คุณจะบู้วิ่งใส่เลยก็ได้ หรือจะลอบสังหารศัตรูก่อนก็ไม่ว่ากัน ทั้ง 2 วิธีมีความได้เปรียบที่ต่างกันไปและมีความโดดเด่นไม่แพ้กัน คุณจะไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้เล่นลอบสังหารเพียงอย่างเดียวหรือต้องเป็นซามูไรเดินหน้าเข้าไปท้าดวลกับศัตรูทั้งกองทัพเพียงอย่างเดียวเช่นกัน การเล่นจะเป็นแบบไหนอยู่ที่คุณจะผสมผสานมันออกมา คุณสามารถใช้อุปกรณ์ช่วยสร้างการสังหารรูปแบบต่างๆ ได้ ทั้งการปามีด ระเบิดควัน ลูกดอกพิษ ธนู หรือใช้สภาพแวดล้อมในฉากอย่างพวกกับดักในฉากมาช่วยได้ แถมการข่มขวัญและระดับกำลังใจของศัตรูก็มีผลต่อการเล่นด้วยโดยตรง ศัตรูที่หึกเหิมเมื่อเห็นเพื่อนถูกฆ่าตายรัวๆตรงหน้าก็จะเริ่้มมีอาการเสียขวัญและหวาดกลัวจนไม่กล้าจะสู้กับคุณ วิ่งหนี หรือล้มกลิ้งคลาน เปิดโอกาสให้คุณสังหารได้อย่างง่ายดายด้วยระบบ Moral โดยรวมแล้วอารมณ์เกมและรายละเอียดเล็กๆที่เกมมอบให้ทำให้เกมนี้โดดเด่นกว่ามากเกมไหนๆ ในแนวเดียวกัน มันให้ความรู้สึกสดใหม่แม้หลายฟีเจอร์ที่มีให้เล่นจะไม่ได้เป็นอะไรที่ใหม่จริงๆซะทีเดียวก็ตามที

สิ่งที่แปลกใหม่จริงๆที่คุณไม่ค่อยได้เห็นในเกมไหนก็คือ "การดวล" แบบซามูไร ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 สไตล์คือ เป็นภารกิจตรงๆ ให้เล่น ให้คุณได้ดวลกับศัตรูจำพวกบอสฝีมือฉบังแบบ 1:1 จนตายกันไปข้าง และอีกแบบคือ การท้าศัตรูดวลเมื่อเจอหน้าครั้งแรกในฉากแบบโลกเปิด ซึ่งการดวลแบบเป็นภารกิจนั้นเราคงจินตนาการได้อยู่แล้วว่ามันคือการสู้กันตัวต่อตัวอย่างที่คุณเคยเห็นในเกมอื่นๆ แต่ไอ้ระบบดวลดาบเวลาเจอศัตรูในฉากนี่ซิ มันดูอลังการ ดูทรงพลังมาก ลองนึกภาพว่าคุณเดินไปเจอกองทหารมองโกลกลุ่มนึงที่เดินลาดตระเวนผ่านมาและคุณเป็นเพียงซามูไรคนเดียวตรงนั้นที่กำลังจะเจอกับการรุมยำจากศัตรู คุณท้าดวลดาบกับพวกมัน เมื่อศัตรูปรี่เข้าใส่ทันใดนั้นคุณก็ชักดาบออกมาตะหวัดเพียงไม่กี่ทีจนศัตรู 4-5 ตัวรอบๆล้มลง การต่อสู้จบลงและคุณเดินจากไปในไม่กี่นาที มันเป็นอะไรที่เท่และบันเทิงมากตอนที่ได้เล่นฉากพวกนี้ การออกแบบส่วนเกมเพลย์ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพยายามกดปุ่มให้ถูกต้อง เร็วและมีจังหวะ มันคือการดวลดาบแล้วต่อด้วยระบบต่อสู้แบบปกติ แต่วิธีการนำเสนอต่างหากที่ชาญฉลาดมากๆ มันสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้เล่น ให้ความรู้สึกว่าคุณเป็นยอดนักดาบอย่างที่คุณเคยเห็นในภาพยนต์ และแน่นอนว่ามันสดใหม่เพราะไม่เคยมีเกมไหนเอาการดวลมานำเสนอแบบนี้จนพูดได้เลยว่านี่แหละคือ เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของตัวเกมที่ดีงามมากๆ
https://gtm.steamproxy.vip/sharedfiles/filedetails/?id=3247952254
นอกจากเควสหลักที่มีเรื่องราวและน่าติดตาม เควสรองบางอย่างในเกมก็ค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนเกมไหนด้วย อาทิ เควสตามหา Shine ลับที่คุณจะได้ลูบหัวน้องจิ้งจอกเป็นรางวัล หรือได้เล่นแต่งกลอนไฮกุในสถานที่ต่างๆ และตัวเกมเองก็รองรับเสียงมาตรฐานอย่าง ENG และ JP แถมยังรองรับภาษาไทยด้วย ซึ่งงานแปลก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ตัวเกมยังมาพร้อมกับเนื้อหาเสริมของเกาะ Iki และส่วนของการเล่น MP ที่ใช้ชื่อโหมด Legend จะให้คุณ Co-op ร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน ออกทำภารกิจเป็นฉากๆไป ข้อติสำหรับเกมนี้มีอยู่ไม่มากนักและส่วนมากเป็นเรื่องระบบ Combat ที่แม้ว่าจะทำมาได้ดีมากแล้วแต่ก็ยังมีจุดบอดอยู่อย่างเรื่องการล็อกเป้าที่ไม่สามารถทำได้ ทำให้เวลาเจอกับศัตรูหลายตัวผู้เล่นต้องอาศัยการควบคุมตัวละครให้หันหน้าตรงเข้าใส่ศัตรูที่ต้องการโจมตีเอง แม้จะมีการกดระบบท่าพิฆาตบางส่วนที่ล็อกตัวศัตรูให้แต่การต่อสู้กว่า 80% ยังคงอาศัยการหันหน้าและเคลื่อนที่อย่างอิสระของผู้เล่นเอง ตรงนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไรนักถ้าคุณเล่นมันจนชิน แต่ช่วงแรกๆ อาจต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับมันอยู่บ้าง อีกเรื่องก็คือ มุมกล้อง เมื่อการล็อกเป้าเป็นไปไม่ได้ การเคลื่อนที่เข้ามุมอับอย่างฝาบ้าน มุมหน้าฝา หรืออะไรที่เป็นผนัง จึงทำให้เกิดมุมอับทำให้คุณมองไม่เห็นเวลาต่อสู้ อันนี้เป็นปัญหาโลกแตกของเกมที่มีลักษณะแบบนี้ซึ่งมันน่าหงุดหงิดมาก แต่โชคยังดีที่การสู้รบส่วนใหญ่จะอยู่ในที่เปิดโล่ง ไม่ค่อยไปฟาดฟันกันในอาคารอะไรมากนัก แต่ปัญหานี้ก็ยังมีอยู่เวลาการสู้มันชุลมุน ซึ่งตรงนี้ผู้เล่นคงต้องไปปรับเปลี่ยนการเล่นกันเอาเอง

ปัญหาเรื่อง PSN แม้จะไม่ได้กระทบผู้เล่นในบ้านเรามากมายแต่ด้วยความที่ Sony วุ่นวายบังคับให้ผู้เล่นต้อง Log in เข้า PSN โดยตรงกับเกมนี้เป็นเกมแรก คุณจึงต้องมากรอก ID PSN ใหม่ทั้งหมดแม้จะเคยผูกกับ Steam ในเกมอื่นไปก่อนแล้วก็ตาม และที่้แย่ไปกว่านั้นในช่วงแรกที่เกมปล่อยก็มีปัญหาเกี่ยวกับเซิฟเวอร์ติดๆดับๆ ทำให้ Log in หรือสมัครใหม่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน และการบังคับใช้ PSN นี้ก็เป็นการนำระบบถ้วยรางวัลหรือ Trophy เข้ามาผนวกกับตัวเกมบน PC ด้วย พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ เมื่อคุณปลด Achievement บน Steam ไป ตัว PSN ก็จะปลดถ้วยรางวัลนั้นใน ID คุณให้ด้วย อารมณ์มันจะเหมือนการเล่นเกมของ Ubisoft บน Steam ที่ต้อง log-in Uplay ด้วยเพื่อเข้าเล่นนั่นแหละ ซึ่งก็เชื่อได้ว่าเกมต่อๆไปของ Sony ที่โดดมาลง PC ก็จะเป็นลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่อง Performance ตัวเกมพอร์ตมาดี จากการลองทดสอบเปิดรายละเอียดสูงสุดทุกตัวเลือกโดยปิด DLSS ก็ยังคงได้เฟรมเรทที่น่าพอใจ ถ้าคุณต้องการเฟรมที่สูงกว่านี้และเปิด DLSS ได้ด้วย การแสดงผลก็น่าจะลื่นไหลไม่มีปัญหาใดๆ เช่นกัน เรื่องเกม Crash นั้นผมไม่เจอแต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มี เพราะมีผู้เล่นอื่นเจออยู่เหมือนกัน จุดนี้อาจจะอยู่ที่สภาพเครื่องของผู้เล่นแต่ละคนด้วย

แม้เกมจะมีปัญหาเรื่อง PSN ให้จุกจิกกวนใจบ้างจนอาจจะเข้าตำราว่า "เกมดี ผู้จัดจำหน่ายห่วย" แต่ถ้ามองข้ามจุดนี้ไปก็ต้องยอมรับว่าตัวเกมมันไม่ได้ผิดอะไร คุณภาพมันไม่ได้แย่แค่วิธีที่ Sony พยายามนำมาปรับเปลี่ยนและเริ่มใช้บนเกมนี้มันไม่ค่อยเข้าท่าและราบรื่นนัก ซึ่งในท้ายที่สุด Ghost of Tsushima ก็ยังคงเป็นเกม Action/Open World ที่มาพร้อมกับธีมญี่ปุ่นโบราณซึ่งเซ็ทมาตรฐานใหม่ให้กับเกมแนวนี้ไปแล้วเรียบร้อย แน่นอนว่าในเรื่องของเกมเพลย์นั้นตัวเกมก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบขั้นสุด แต่มันก็ยังสร้างความรู้สึกสดใหม่ให้กับผู้เล่นเป็นอย่างมาก ไหนจะเรื่องของวิธีนำเสนอฟีเจอร์ต่างๆในแบบที่เกมอื่นคิดไม่ได้แต่ก็เป็นเรื่องง่ายๆที่อยู่ตรงหน้า งานศิลป์ยอดเยี่ยม ภาพสวย สภาพแวดล้อมงดงาม เนื้อเรื่องแบบ What if ที่น่าสนใจ เกมเพลย์ที่ให้อิสระแก่ผู้เล่นตามที่คุณถนัด ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้มันเหมาะกับผู้เล่นที่ต้องการอะไรใหม่ๆ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ในการเล่นเกมแบบโลกเปิดที่อาจจะรู้สึกซ้ำซากมานาน รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังครับ