ดีงามทุกองค์ประกอบและคู่ควรมีติด Library ไว้ทุกประการโดยเฉพาะหากคุณเป็นแฟน Old School RTS อย่างซีรีส์ C&C ไม่ว่าจะ Red Alert หรือซีรีส์ Tiberium ก็ตาม เพราะเราแทบไม่ได้เห็นเกมแนวนี้ที่คุณภาพระดับขึ้นหิ้งมานานมาก นานในระดับทศวรรษ เพราะ EA ที่มี IP ระดับคุณภาพอย่าง C&C ไม่เคยคิดจะทำภาคใหม่แบบจริงจังที่ไม่ใช่เกมมือถือซะทีและได้แต่ถือชื่อกั๊กเอาไว้เฉยๆ ไม่สนเสียงเรียกร้องของแฟนเกม จนในที่สุด Slipgate Ironwork ได้จับมือกับ 3D Realm สร้าง RTS ของตัวเองที่ทุกเกมเพลย์ ทุกสิ่งทุกอย่างกระทั่งอารมณ์ของเกม เพลงประกอบ ชวนให้หวนนึกถึงวันวานตอนคุณนั่งเล่น C&C แบบเต็มขั้น เรื่องราวที่คล้ายกันเสมือนเป็นจักรวาลคู่ขนาน เพลงประกอบสไตล์เมทัลดุดันสะใจ ทุกอย่างลงตัวจนสามารถพูดได้เลยว่า "Tempest Rising" คือ C&C ที่มีความโมเดิร์นมากขึ้นแต่ยังคงเกมเพลย์แบบ Old School ที่จัดจ้านไว้ ไม่แพ้ต้นตำรับเลยแม้แต่นิดเดียว

สำหรับผู้เล่น RTS ยุคใหม่ที่เคยชินกับ Tactical RTS และอยากลองสัมผัสเกมเพลย์แบบต้นตำรับโดยไม่อยากต้องไปย้อนเล่นเกมเมื่อ 20 ปี ก่อนเพราะกลัวจะรู้สึกว่ามันโบราณเกินไป นี่เป็นโอกาสที่ดีของคุณแล้ว เพราะ "Tempest Rising" มีทุกอย่างที่ C&C เคยมอบให้ แต่ตัวเกมก็ปรับเปลี่ยนระบบหลายอย่างให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น อย่างการควบคุมด้วยเมาท์ที่ยึดโยงกับเกมสมัยใหม่โดยใช้คลิกขวาสั่งการเป็นหลัก (แต่ถ้าคุณต้องการคลิกซ้าย เกมก็มีให้ปรับ) ฉาก Brifing ที่เกมต้นตำรับเป็น FMV แต่ยุคนี้ก็ปรับเปลี่ยนเป็นการใช้ CG ตัวละครแทนซึ่งทำได้ค่อนข้างดีมากด้วย (แต่มีปัญหา lip sync เล็กน้อย) อารมณ์เกมก่อนเข้าภารกิจทุกอย่างเหมือน C&C เป๊ะๆ แต่เกมได้เพิ่มตัวเลือกบทสนทนาถามตอบกับเหล่าผู้สั่งการให้คุณรู้สึกอินไปกับการเล่นและเรื่องราวมากขึ้น ส่วนแคมเปญเองแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ GDF ที่อาวุธต่างๆ เน้นเทคโนโลยีทันสมัย กองทัพอากาศโดดเด่น (อวตาร GDI จาก C&C) และ Dynasty ที่รบโดยใช้กลยุทธ์และความดิบเถื่อน (ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือน NOD นั่นแหละฮะ) ที่ต้องมาทำสงครามแย่งชิงพื้นที่กันเพราะความขัดแย้งในการเก็บเกี่ยวพืชกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่เรียกว่า Tempest เพราะมันเป็นแหล่งพลังงานประสิทธิภาพสูงมากที่ก่อกำเนิดขึ้นมาหลังสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกหลายปีก่อน (พูดง่ายๆ มันก็เหมือน Tiberium นั่นแหละ) และในสงครามครั้งนี้ก็ยังมีการกล่าวถึงฝ่ายลึกลับฝ่ายที่ 3 ที่ผู้พัฒนาอาจจะปล่อยมาให้เล่นในอนาคตด้วย (มั้ง) ฉากหลังของเกมคือโลกที่พังทลายหลังสงครามครั้งใหญ่ และต่างฝ่ายต่างต้องมาแย่งชิงทรัพยากรที่มีค่า ซึ่งพล็อตแบบนี้มันก็เหมือนซีรีส์ Tiberium นั่นแหละ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อฝ่าย เปลี่ยนจากแย่งกันเก็บแร่ที่มาจากนอกโลกเป็นมาไล่เก็บเถาวัลย์กลายพันธุ์แทน lol

กราฟิกในเกมสวยงามละเอียดจัดเพราะถูกสร้างสรรค์ด้วย Unreal Engine 5 เต็มรูปแบบ และการ Optimize ก็ทำมาได้ค่อนข้างดี Performance โดยรวมถือว่าดีมาก ผมไม่เจอปัญหาเกมหลุดเกมล่มแต่ประการใด เฟรมที่ได้ค่อนข้างนิ่งแต่เกมก็ยังมีอาการโหลด Texture ไม่ทันแบบนานๆที ตัวเกมรองรับ Resolution และ Ratio ของจอภาพที่ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นจอปกติธรรมดาไปจนถึง Super Ultrawide ก็เล่นได้แบบเต็มตาและรองรับมาในตัวเลยแบบ Native สำหรับเพลงประกอบหรือ OST ของเกมเองก็จัดว่าหนักหน่วงดุดัน เข้ากับธีมของเกมสไตล์นี้เหมือนต้นตำรับเป็นอย่างดี เรื่องของเสียงอาจมีตินิดหน่อยในส่วนของเอฟเฟคปืนต่างๆ ที่ยังดูเบาก๊องแก๊งไปบ้าง เสียงปืนกล เสียงระเบิดอาจพอไปวัดไปวาได้แต่เสียงปืนสไนเปอร์ที่ยิงแล้วเบาจัดๆ จนแอบคิดว่าไปว่านี่มันบัคหรือว่าจงใจทำเป็นปืนเก็บเสียงกันแน่!? ส่วน Multiplayer นั้นตัวเกมรองรับการสร้างห้องแบบ Public ผ่าน Internet (แต่คุณใส่ Password ล็อกห้องได้ถ้าอยากสร้างเล่นกันเองกับเพื่อน) และรองรับการเล่นผ่าน LAN แบบเกมยุคเก่าด้วย เกมรองรับผู้เล่นสูงสุด 4 คน โดยแผนที่ที่มีให้เป็นแบบ 2 ผู้เล่น 6 ฉาก และ 4 ผู้เล่น 3 ฉาก รวมเป็น 9 ฉากซึ่งอาจจะน้อยไปซักนิด ใครสาย MP อันนี้คงต้องมาลุ้นกันว่าต่อไปจะมีอัพเดตเพิ่มฉากตามมาอีกมั้ย

แม้องค์ประกอบเกมทั้งหมดจะดีงามแต่เกมก็ยังมีปัญหาอยู่ 2-3 อย่างซึ่งเห็นมาตั้งแต่ Beta และเป็นปัญหาโลกแตกที่เกมแนวนี้มักจะมีนั่นก็คือ ระบบค้นหาเส้นทางของยูนิตที่มีความเมากาว ซึ่งบางครั้งถ้าเจอสิ่งกีดขวางข้างหน้าก็อาจมีอาการเดินติดไม่ขยับจนต้องสั่งใหม่ หรือบางครั้งยูนิตก็เดินอ้อมไปไกลมากหากคุณสั่งยูนิตจำนวนมากเดินผ่านที่แคบ ตัวที่เดินติดจะไม่รอเข้าคิวเดินผ่านแต่จะเดินอ้อมไปเส้นทางอื่นแทน แม้มันจะไม่ได้เป็นปัญหาระดับ Game breaking อะไรเพราะ Old School RTS เน้นการสแปมยูนิตโถมเข้าใส่กันอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นการเพิ่มวิธีเล่นแบบ Micro ให้มากขึ้นโดยไม่จำเป็น ปัญหาเรื่อง Pathfinding ในวันที่เกมปล่อยถือว่าได้รับการปรับปรุงให้ดีมากกว่าตอน Beta พอสมควรแต่มันก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้างประปราย ปัญหาต่อมาก็คือเรื่องของความสมดุลของยูนิตที่อันนี้คงต้องรอ patch ทยอยปรับแก้กันยาวๆ กว่าจะลงตัว เล่นในช่วงแรกที่เกมปล่อยหรือตั้งแต่ Beta คุณอาจจะรู้สึกว่ายูนิตบางตัวมันยิงแรงหรือเบาไป เช่นปืนไฟแรงเกินไป เผารถถังพังง่ายจัดๆ ในขณะที่รถถังเองกว่าจะพังยานพาหนะบางๆได้ ก็ยิงอยู่หลายชุด เป็นต้น สำหรับข้อติสุดท้ายก็คงจะเป็นเรื่องของอนิเมชั่นสิ่งก่อสร้างหรือยูนิตเวลาเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่ มีเฟรมไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น ใบพัดเฮลิคอปเตอร์เวลาหมุนที่ดูหน่วงๆ แม้ว่าจอคุณจะรัน 60fps แล้วก็ตาม เพราะการเคลื่อนไหวของยูนิตหรือสิ่งก่อสร้างบางชนิด (ไม่ใช่ทั้งหมด) ถูกล็อกไว้ครึ่งหนึ่งของเฟรมเรทหน้าจอ แต่ถ้าจอของคุณมี Refresh rate ที่สูงหรือเล่นเกมนี้ที่ระดับ 100 fps+ อยู่แล้ว อันนั้นก็ไม่มีปัญหา คุณจะรู้สึกว่าเกมมันค่อนข้าง smooth เหมือนปกติเลย

ในฐานะที่ผมก็เป็นแฟนเกม C&C ที่เล่นมาทุกภาคตั้งแต่ Westwood ยังเป็นสตูดิโออิสระและก่อนหน้านี้ก็ยังแอบคาดหวังว่ามันจะมีภาคใหม่ออกมาให้เล่นเข้าซักวัน ตอนนี้อยากจะตะโกนใส่ EA ดังๆว่า "ช่างแม่ง!!" ในเมื่อ EA ไม่ทำซักที ซักวันก็ต้องมีผู้พัฒนารายอื่นที่ทำ RTS ที่ดีเทียบชั้นออกมาและวันนั้นก็มาถึงแล้ว Tempest Rising มีทุกอย่างที่แฟนเกม C&C ต้องการ แม้มันจะไม่ได้สมบูรณ์แบบและอาจต้องรอปรับแต่งบางองค์ประกอบด้วย patch แต่อารมณ์ในการนำเสนอ เกมเพลย์ วิธีการเล่าเรื่อง ตลอดจนพล็อตต่างๆและ OST ก็พูดได้เต็มปากเลยว่ามันคือ ผู้สืบทอดจิตวิญญาณของซีรีส์ C&C ในยุคใหม่ ถ้าคุณชอบ RTS คุณควรลอง ถ้าคุณชอบ Old School RTS หรือเป็นแฟน C&C โดยเฉพาะซีรีส์ Tiberium คุณยิ่งไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ

Clair Obscur: Expedition 33 เกมแนว Turn-Based/RPG ม้ามืดจากสตูดิโอสัญชาติฝรั่งเศสหน้าใหม่อย่าง Sandfall Interactive ช่วยยืนยันว่า "เกมถูกและดี" นั้นมีอยู่จริง ด้วยราคาค่าตัวพันนิดๆ (ใครกดมาก่อนก็ได้ราคา 900 หน่อยๆไป) เทียบกับสิ่งที่เกมมอบให้ทั้งหมดก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ โดยเฉพาะพล็อตเรื่องที่สามารถเอาไปทำซีรีส์หรือภาพยนต์แนว Dark Fantasy ได้สบายๆ โดยหลักๆแล้วตัวเกมเองก็มีจุดเด่นจุดแข็งอยู่ 4 อย่างตามลำดับซึ่งก็คือ เนื้อเรื่อง, เกมเพลย์, งานศิลป์ และเพลงประกอบ แถมมันยังเป็น Turn-Based/RPG ที่ให้ความรู้สึกสดใหม่อย่างมาก ถ้าคุณชอบความดาร์คและเกมเพลย์สไตล์ RPG ที่ดุดันราวกับเล่นเกม Action เกมนี้เข้าทางคุณแน่นอน
https://gtm.steamproxy.vip/sharedfiles/filedetails/?id=3472832607

NOTE - Clair Obscur เป็นคำภาษาฝรั่งเศสที่หมายถึงเทคนิคทางศิลปะที่ใช้การตัดกันระหว่างแสงและเงา ในบริบทเกมนี้สื่อถึงการตัดกันระหว่างความหวังและความสิ้นหวัง หรือแสงสว่างและความมืด

จุดเด่นอย่างแรกก็คือพล็อตเรื่องและการนำเสนอที่เรียกว่าจัดหนักจัดเต็มกับอารมณ์ผู้เล่นตั้งแต่ช่วงแรก โดยพล็อตหลักของเกมเดินเรื่องในดินแดนฝรั่งเศสที่มีฉากหลังเป็นโลกที่เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Fracture ซึ่งเกิดการแตกออกของมิติทำให้สิ่งประหลาดเกิดขึ้นมากมายรวมถึงการปรากฏตัวของเสาหินขนาดยักษ์และ "Paintress" สิ่งมีชีวิตประหลาดที่จะตื่นขึ้นมาปีละ 1 ครั้งเพื่อทำการวาดตัวเลขที่ค่อยๆนับถอยหลังไปเรื่อยๆในทุกๆปี หากผู้ใดที่มีอายุเท่ากับตัวเลขที่ถูกวาดก็จะสูญสลายกลายเป็นอากาศธาตุไปไม่มีวันกลับ (เรียกว่า Gommage) แน่นอนว่าเหล่ามนุษย์ก็ต้องดิ้นรนหาทางรอดโดยการพยายามจัดแผนการออกไปสำรวจสิ่งที่เกิดขึ้นและหาเส้นทางเข้าถึงตัว Paintress เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เธอตื่นมาวาดตัวเลขได้อีก ทุกๆปีผ่านไปคณะสำรวจที่ออกเดินทางไม่เคยมีใครได้กลับมาและก็ยังไม่มีวี่แววว่า Paintress จะถูกหยุดยั้งลงได้ ประชากรชาวเมืองก็เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดหลังผ่านมา 67 ปี การเดินทางออกสำรวจครั้งที่ 67 ที่มีชื่อว่า Expedition 33 ก็เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ยังคงเดิมคือหาทางหยุดยั้ง Paintress ให้ได้ คุณจะได้รับบทเป็น Gustave หนึ่งในทีมนักสำรวจที่ออกเดินทางไปกับผองเพื่อนซึ่งมุ่งมั่นจะทำภารกิจให้สำเร็จ ทว่าเพียงแค่เริ่มต้นออกสำรวจดินแดนในทวีปแห่งใหม่ ทุกอย่างก็กลายเป็นฝันร้ายสำหรับคณะสำรวจในทันที จากภารกิจที่จะต้องออกล่ากลายเป็นการพยายามเอาชีวิตรอดให้ได้แทน.....พล็อตเรื่องหลักของเกมนั้นผมว่าสามารถเอาไปทำหนังหรือซีรีส์ได้แบบสบายๆ เลยล่ะ วิธีการเล่าก็น่าสนใจ มันทำให้ผู้เล่นรู้สึกอยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ กระทั่งบทต่างๆของตัวละครที่มีความ Contrast กัน อย่างคนนึงมุทะลุ ทำอะไรไม่ค่อยคิด ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล กับอีกคนที่ใช้เหตุผล มีความรอบคอบ มีการวางแผน ถกเถียงส่งรับกันในเหตุการ์ต่างๆ ทำให้การเล่าเรื่องดูมีชีวิตชีวา มันทำให้รู้สึกว่า เหตุการณ์ที่ผู้เล่นเจอในบางช่วงบางตอนนั้นมันมีความจริงจังกับเหล่าตัวละครมากๆ ทั้งหมดนี้นอกจากพล็อตเรื่องจะน่าสนใจแล้ว การบอกเล่าก็ยังชวนให้ผู้เล่นรู้สึกอยากติดตามมากเข้าไปอีก ใครเป็นสายเนื้อเรื่องคุณน่าจะถูกใจเกมนี้ได้ไม่ยาก
https://gtm.steamproxy.vip/sharedfiles/filedetails/?id=3474107031
ตามติดมาด้วยเกมเพลย์ ด้วยระบบที่ทีมงานเรียกว่า Reactive Turn-Based Combat ช่วยการันตีได้เลยว่า ทุกการต่อสู้ ทุกการออก Skill และทุกการโจมตีของศัตรู คุณจะไม่มีคำว่าง่วงนอนในตอนเล่น เพราะคุณจะต้องคอยกด "ปุ่ม" ต่างๆ ตลอดการเล่น ไม่ใช่ว่าเป็น Turn-Based/RPG กดสั่งตีแล้วจะจบ เพราะการออก Skill นั้นคุณจะต้องกดปุ่มที่ขึ้นบนหน้าจอให้ถูกจังหวะด้วย หากต้องการ Damage เพิ่ม แน่นอนว่าเมื่อศัตรูโจมตี คุณก็ต้องกดปุ่มเพื่อ ปัดป้อง หลบหลีก และสวนกลับด้วยเช่นกัน และมันสำคัญคือถ้าคุณกดถูกจังหวะ คุณจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลยทั้งสิ้นไม่ว่าศัตรูตัวนั้นจะเป็นบอสที่เวลห่างกับคุณมากมายก็ตาม แต่ไม่ใช่ว่าจะกดปัดป้องอย่างเดียวหรือหลบหลีกอย่างเดียว เพราะการโจมตีแต่ละอย่างของศัตรูบางอย่างอาจปัดป้องไม่ได้ หลบหลีกไม่ได้ คุณต้องคอยสังเกตุการโจมตีของศัตรูเอาเอง (บางการโจมตีจะมีสัญลักษณ์บอก)จุดนี้เป็นอะไรที่สดใหม่จัดจ้านมากๆ มันทำให้อารมณ์เกมในส่วนต่อสู้ไม่รู้สึกยืดยาดแม้จะเป็น Turn-Based และมีความเป็น Action สูงมากขึ้นทั้งๆที่ตัวเกมไม่ได้เป็นเกมแนว Action เลย ด้วยการออกแบบระบบแบบนี้มันช่วยการันตีกับผู้เล่นด้วยว่า ถ้าคุณเก่งจริง กดปุ่มแม่นจริง คุณจะสามารถพิชิตศัตรูได้แน่ๆ ไม่ว่าศัตรูตัวนั้นจะเก่งกว่าคุณมากแค่ไหนก็ตาม (อารมณ์เหมือนเล่น Soul-like อย่าง Sekiro ที่แฟร์ๆกับผู้เล่นดี) นอกจากนี้การออกแบบผังของ Skill ต่างๆ และท่วงท่าพิเศษที่สามารถสร้างคอมโบได้หลากหลายและแปลกแหวกแนว การผสม Passive Skill และการสวมใส่ "Picto" ไอเทมคุณสมบัติพิเศษ ทำให้การพัฒนาตัวละครยืดหยุ่นมากจนแทบจะไร้ขีดจำกัด การปั้นตัวละครอย่างที่คุณต้องการจึงไม่ใช่เรื่องยาก ทำให้เล่นได้สนุกและติดพันมากมาย
https://gtm.steamproxy.vip/sharedfiles/filedetails/?id=3474282156
งานภาพในเกมสวยงามตระการตาและดู Surreal มาก เพราะนอกจากจะถูกรังสรรค์ด้วย Unreal Engine 5 ที่จัดเต็มเรื่องภาพและแสงเงาแล้ว งานศิลป์ที่ใช้ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุโรปในยุค Belle Epoque ที่สื่อถึงความสวยงาม ความก้าวหน้าทั้งทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ โดยทำให้มันตัดกับฉากหลังที่เป็นโลกอันแตกสลายและมีความ Dark Fantasy ผสมอยู่ มันเลยออกมาสวยงามและแปลกอย่างลงตัว ส่วนเสียงประกอบของเกมก็เรียกว่าจัดหนักจัดเต็ม เห็นได้ชัดๆก็คือ BGM ตลอดการเล่นที่เพลงส่วนใหญ่เป็นการผสมผสานระหว่างแนวโอเปร่าและดนตรีคลาสสิคเข้ากับซาวของเครื่องดนตรีสมัยใหม่กระทั่ง Pop/Rock ที่นอกจากจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในบางจังหวะก็ชวนให้คิดถึง JRPG ด้วยเหมือนกัน

Performance ในเกมสำหรับผมถือว่าลื่นไหลดีงามมาก ตัวเลือกกราฟิกมีให้เลือกปรับค่อนข้างหลากหลาย รองรับ Resolution ของจอหลายขนาดแถมยังรองรับจอแบบ Ultrawide และ Super Ultrawide มาเลยในตัว และสำหรับคนมี Steamdeck ถึงแม้ตัวเกมจะเขียนว่า Unsupport แต่ผมก็ประหลาดใจที่มันสามารถเล่นได้แถมยังได้เฟรมที่น่าพอใจอีกด้วย (30-45fps บน Deck) สำหรับข้อติของเกมก็มีอยู่บ้างเล็กน้อย อาทิ UI หน้าการจัด Skill ตัวละคร การสวมใส่อุปกรณ์และทักษะพิเศษต่างๆ ที่ดูเข้าใจและใช้งานยากในช่วงแรก มันไม่ใช่ UI หรือเมนูที่ดูปุ๊ปรู้ปั๊ปใช้เป็นเหมือนหลายๆเกม แต่ต้องอาศัยการทำความเข้าใจ ลองผิดลองถูกอยู่บ้าง และตัวเกมไม่มี Mini Map ให้เวลาเดินทางบนแผนที่โลก ซึ่งผู้เล่นก็ต้องจำเส้นทางเอาเอง นอกจากนี้ยังมีบัคเรื่องการแสดงผลบนจอ Ultrawide และ Super Ultrawide ที่จะบีบ FOV ให้แคบลงเมื่อจบการต่อสู้ (บางครั้งเป็นบางครั้งไม่เป็น) ซึ่งบัคนี้ใครใช้จอกว้างก็คงต้องรอ Patch แก้ หรือถ้าไม่อยากรอก็มีนัก Mod ทำตัวแก้ออกมาแล้ว ลองไปค้นหาว่า Lyall บน github กันดูเอา

สรุปท้ายที่สุด Clair Obscur: Expedition 33 จัดว่าเป็นอีกหนึ่งเกม RPG ที่ยอดเยี่ยมมากในปี 2025 และเป็นเกมม้ามืดที่ทำออกมาได้ดีเกินคาดมากซะด้วย องค์ประกอบแทบทุกอย่างดีงามลงตัวจนไม่รู้จะติอะไร สมแล้วที่สื่อหลายที่ให้คะแนน 9+ ถ้าคุณชอบ Turn-Based/RPG นี่เป็นอีกเกมที่คุณควรลองเล่นมากๆ ทุกอย่างตอบโจทย์ไม่ว่าจะเป็นสายเนื้อเรื่อง สายเกมเพลย์ ตลอดการเล่นชวนติดตามมากและไม่น่าเบื่อ การพัฒนาตัวละครให้อิสระเปิดกว้างค่อนข้างมากกว่าเกมอื่น งานศิลป์ยอดเพลงประกอบเยี่ยมม และสุดท้าย ราคาก็ดีเทียบกับคุณภาพที่เกมมอบให้ เป็นอีกหนึ่งเกมที่ควรมีติด Library โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆครับ

**เกมมีฉากจบ 2 แบบ และมี New Game+ ให้โดยที่อาวุธ, Picto กับ Level และ Progression จะอยู่ครบ สิ่งที่จะหายไปคือ Quest item และ Journal (ใครจะเก็บ Journal กับ Record ให้ครบ แนะนำทำให้ครบในรอบที่เล่น)