เป็นที่รู้กันว่าทุกครั้งที่ Civilization ออกภาคใหม่ ในช่วงเกมปล่อยวันแรกเราก็มักจะคุ้นเคยกับความเห็นของผู้เล่นประมาณว่า "กลับไปเล่นเกมภาคเก่าดีกว่า" ไม่ก็ "เกมภาคใหม่มันแย่ สู้ภาคเก่าไม่ได้เลย" ซึ่งตอนเกมภาค 6 ออกหลายความเห็นก็บอกว่าเกมภาค 5 ดีกว่า และก็แน่นอนเมื่อเกมภาค 7 ออก ความเห็นแนวๆนี้ก็คงจะมีอยู่ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเรื่องของอารมณ์ผู้เล่นที่รู้สึกเกิดการเปรียบเทียบว่าของใหม่มันควรจะต้องดีกว่าของเก่าซิ แต่เอาจริงๆ ก็คงไม่ใช่ในช่วงที่เกมออกวันแรก เพราะซีรีส์ Civ นั้นถ้าคุณสังเกตุดีๆ ตัวเกมจะสมบูรณ์แทบจะทุกด้านก็ต่อเมื่อมีการปล่อย Expansion ออกมา 2 ตัวเสมอ ทั้งภาค 5 และ 6 ก็เป็นแบบนั้น ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่คนจะรู้สึกว่าตัวเกมภาค 6+2ตัวเสริม จะดีกว่าภาค 7 หลักแบบเพียวๆ

ท่ามกลางกระแสความรู้สึกของผู้เล่นที่ปะปนกันทั้งที่ว่าเกมมันดีและห่วย โดยส่วนตัวแล้วหลังจากใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในการพยายามเรียนรู้สิ่งที่แตกต่างของเกมภาคนี้ ผมบอกตรงๆว่า Civ ภาค 7 นั้น ไม่ได้สร้างความประทับใจในครั้งแรกที่เล่นนัก ออกแนวไม่รักก็อาจจะเกลียดเลย ทั้งๆที่ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะเปิดใจกับซีรีส์นี้ในทุกภาค แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึก "อิหยั๋งวะ!?" กับฟีเจอร์บางอย่าง เรียกว่าจูบแรกก็ไม่ประทับใจจนเกือบจะคืนเงินแล้ว แต่...หลังจากลองพยายามทำความรู้จักมัน ผมก็เข้าใจแนวคิดของ Dev ที่พยายามจะนำเสนอสิ่งใหม่ในภาคนี้ เพียงแต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่สมเหตุผลอยู่ซึ่งมันทำให้เกมมันดูไม่น่าประทับใจนักเมื่อลองเล่นในตอนแรกซึ่งก็คือ ระบบตัวผู้นำหรือ Leader

ด้วยความที่ภาค 7 ปรับเปลี่ยนมาใช้การสร้างอารยธรรมตามอัธยาศัยของผู้เล่นแบบเดียวกับเกม Humankind คุณสามารถดึงเอาจุดเด่นของวัฒนธรรมสร้างเป็นของตัวเองได้ผ่านการเล่น 3 ยุค และตัวเลือกวัฒนธรรมในยุคสุดท้ายที่คุณเลือก ก็จะเป็นตัวบ่งบอกว่าชาติของคุณนั้นคือชนชาติอะไร คอนเซปท์นี้ฟังดูมันก็ค่อนข้างจะเข้าท่าเพราะให้อิสระแก่ผู้เล่นที่อยากจะ Mix&Match เอาข้อดีต่างๆมาสร้างเป็นชนชาติตัวเอง และมันจะโอเคมากถ้าเกมนี้ไม่มีการเลือกผู้นำที่เป็นตัวละครบุคคลสำคัญจากชาติต่างๆ และแทนที่ด้วยตัวละครสร้างเองหรือคนไร้ชื่อไร้หน้าตาอะไรก็ว่าไป เพราะตัวผู้นำนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้อารมณ์เกมมันดูไม่ Make sense เอามากๆ ยกตัวอย่างเช่น ผมเริ่มต้นด้วยการเลือกเจ้าหญิงฮิมิโกะจากญี่ปุ่น พอเริ่มเกมในยุคแรกสุด วัฒนธรรมที่เกม "แนะนำ" ให้เลือกเล่นมี 2 ชาติ ซึ่งก็คือ เขมร กับ Mississippian ซึ่งมันไมได้มีความใกล้เคียงอะไรกับญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย และเมื่อคุณเลือกเขมรเป็นวัฒนธรรมแรก เมืองที่คุณสร้างขึ้นก็จะเป็นชื่อเขมร คุณได้คุณสมบัติของช้างที่ใช้รบและยูนิต "ยุทธหัตถี" มาใช้แถมด้วย BGM สไตล์ไทยเดิม เพียงแค่นี้คุณก็อาจจะรู้สึกแปลกๆล่ะว่า ทำไมญี่ปุ่นมีช้างวะ? มีระบบยุทธหัตถีอีกต่างหาก ชื่อเมืองก็เขมร แล้วชาวปลาดิบเกี่ยวอะไรกับเขมร? นี่คือสิ่งที่มันอิหยั๋งวะมากในโมเมนต์แรกที่ผมรู้สึก และกว่าคุณจะมีตัวเลือกให้เป็น Meji Japan ได้ คุณก็ต้องทนเล่นฝ่าฟันไปจนถึงยุค 3 และถ้าไปถึงตรงนั้นคุณอาจจะไม่เลือกเล่นเป็น Japan ก็ได้ โดยลองมาเลือกเป็น Siam แทน สุดท้ายคุณก็จะได้เจ้าหญิงฮิมิโกะแห่งอาณาจักรสยามที่มีกรุงเทพเป็นเมืองหลวงพร้อมกับภูเขาไฟฟูจิที่อาจจะตั้งอยู่กลางอ่าวไทย!! การที่เกมมันมาทรงนี้แปลว่าตัวผู้นำเองก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากไปกว่า "หมาก"ตัวนึงในเกมที่มีสเตตัสเริ่มต้นแตกต่างกันแค่นั้น (แต่เล่นไปก็อัพเวลได้นะ) คุณจะโอเคกับการเล่นหากสามารถมองข้ามเรื่องรูปลักษณ์และอัตลักษณ์ของผู้นำในเกมได้ เพราะจุดนี้คือสิ่งที่โคตรจะไม่สมเหตุผลที่สุดในตัวเกม หากมองข้ามสิ่งนี้ไม่ได้ เล่นยังไงก็อาจไม่สนุก เพราะผมก็นึกไม่ออกว่าต่อให้มีตัวเสริมออกมาอีก 2 ตัว มันจะแก้ไขความรู้สึกนี้ได้ยังไง

เรื่องของคอนเทนด์ไม่เยอะมาก แผนที่ปรับแต่งได้ไม่เยอะสำหรับซีรีส์นี้ที่ปล่อยวันแรก ผมไม่ติดเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติสำหรับเกมหลักทุกภาคที่ยังไม่มีตัวเสริม ส่วนเรื่อง UI ที่ให้ความรู้สึกเหมือนคอนโซลที่หลายคนว่า ผมก็ไม่ติดเรื่องนี้เช่นกัน เพราะมันก็มีประโยชน์เมื่อต้องเล่นบน Steam Deck ตัวเกมยังคงอาศัยการทำความเข้าใจระบบและอ่านคำแนะนำเยอะเหมือนทุกภาค และเกมมีบทสอนส่วนต่างๆตลอดการเล่นไม่ขาด มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าคุณจะเล่นไม่ได้ ไม่เข้าใจ หากคุณอ่านคำแนะนำที่เกมทยอยขึ้นให้ตลอด ยิ่งถ้าคุณมีพื้นในการเล่น Civ ภาคอื่นมาอยู่แล้ว การเล่นก็ไม่ได้ยากอะไร กราฟิกและอนิเมชั่นได้รับการปรับปรุงให้สวยงามดีขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่องของการสร้างเมืองในแต่ละช่องที่สถาปัตยกรรมแต่ละอย่างมีรายละเอียดจนมองเห็นได้ชัดๆ Performance ของตัวเกมดีงาม ไม่มีปัญหาใดๆ รองรับ HDR รองรับ Steam Deck และก็เล่นได้ลื่นไหลเช่นกัน แต่เกมก็ยังไม่รองรับ Steam Cloud เช่นเดิม

สิ่งที่เปลี่ยนไปในเกมนี้แบบคร่าวๆ ได้แก่ คนเถื่อนถูกตัดออกไปแทนที่ด้วยชนเผ่าที่อาจเป็นได้ทั้งมิตรและศัตรู ระบบสร้างถนนอัตโนมัติที่จะเชื่อมระหว่างเมืองให้เอง ไม่มีการสร้าง Worker อีกแล้ว ยูนิต Scout ไม่มีระบบ Auto ในการสำรวจแต่เพิ่มลูกเล่นในสร้างหอคอยเปิดแผนที่มาแทน เพิ่มยูนิต Commander ให้คุมกองทหารและจัดทัพในการบุกหรือตั้งรับสะดวกขึ้น ตัวเกมมีอีเวนท์พิเศษตลอดการเล่นที่ต้องอ่านและเลือกตอบเพื่อรับโบนัสต่างๆ ตัวเลือกการทูตมีมากขึ้นและส่งผลกันเป็นลูกโซ่ มีระบบภัยพิบัติต่างๆ มาให้เลยเสร็จสรรพเหมือนยก Gathering Storm จากภาค 6 มายัดไว้ในเกมหลัก และจุดเด่นที่สุดของภาคนี้ก็คือ การยกเครื่องเรื่องการสร้างและบริหารเมืองที่เกือบจะใหม่ทั้งหมด โดยจะแบ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองรองเหมือนเดิมเพียงแต่คุณจะมีอิสระในการสร้างในเมืองหลวงเท่านั้น เมืองรองจะมีระบบ Focus เพื่อให้เมืองพัฒนาอัตโนมัติหรือไม่ก็ต้องใช้เงินซื้อสิ่งก่อสร้างวางลงไปแทน ตัวเกมหยิบเอาระบบการสร้างแบบ Tile ต่อ Tile มาต่อยอดให้ลึกมากขึ้น ทุกครั้งที่เมืองเลื่อนระดับ คุณจะสามารถเลือกสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อให้คนลงไปอยู่อาศัยในช่องรอบๆเมืองได้ ซึ่งมันจะเป็นอะไรก็จะขึ้นอยู่กับช่องนั้นๆให้โบนัสอะไร และถ้าสร้างบนทรัพยากรพิเศษ ทรัพยากรจะถูกดึงมาใช้ทันที และคุณยังสามารถสร้างสิ่งก่อสร้างพิเศษสไตล์ District ทับลงไปในช่องเหล่านี้ได้เพื่อสร้างโบนัสที่มากขึ้น และเมื่อคุณสร้างจนไม่มีพื้นที่จะสร้างอะไรอีกต่อไป การเลื่อนระดับของเมืองก็จะอนุญาติให้คุณส่งผู้เชี่ยวชาญลงไปเพิ่มโบนัสในแต่ละช่องได้อีก ส่วนการข้ามยุคสมัยนั้นก็มีความลึกมากขึ้น คุณต้องทำตามเงื่อนไขในแต่ละหมวดหมู่เช่น Culture, Science หรือ Military ให้ครบ ยุคสมัยถึงจะเปลี่ยนไป และเควสบางอย่างตลอดการเล่นก็จะช่วยปลดล็อกวัฒนธรรมใหม่ให้คุณเลือกระหว่างการข้ามยุคด้วย

อยากจะเขียนยาวกว่านี้แต่ที่ไม่พอแล้ว เอาเป็นว่าท้ายที่สุดถ้าถามว่ามันยังคงให้ความรู้สึก One More Turn เหมือนเดิมมั้ย? ก็คงตอบได้เลยว่า ใช่! แม้มันจะเป็นภาคที่สร้างความประทับใจในสัมผัสแรกได้ไม่ดีนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเล่นได้สนุกและรวมๆแล้วมันก็มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือเรื่องความสมเหตุผลอย่างที่กล่าวไป เกมเพลย์ส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะการจัดการเมือง วัฒนธรรมยังคงทำได้อย่างน่าสนใจ บางส่วนลดทอนลงได้อย่างพอดี ในขณะที่บางส่วนก็ลึกมากขึ้น คละเคล้ากัน แม้มันจะเหมือนการหยิบเกมภาค 6 มาพ่วงด้วยระบบของเกมอื่นแต่สุดท้ายมันก็ยังคงมีความเป็น Civ อยู่เหมือนเดิมไม่มากก็น้อย หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณยังรู้สึกไม่ค่อยโอเคแต่ก็สนใจอยู่ รู้สึกว่ามันเหมือน Early Access คุณอาจจะลองให้โอกาสมันอีกครั้งเมื่อตัวเสริมมาครบหรือรอลดราคาก็ได้ เกมมันไม่ได้แย่เหมือนที่คนบ่นกันแต่มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะถูกใจคุณมั้ย อันนี้คงต้องลองเล่นดูเองจริงๆ

Monster Hunter Wilds คือภาคที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด ณ ปัจจุบัน (2025) มันเหมาะกับคนที่ไม่เคยเล่นและอยากจะลองเริ่มต้นกับซีรีส์นี้ เพราะ QoL ในทุกองค์ประกอบได้รับการยกระดับทำให้เล่นง่ายและสะดวกสบายมากเวอร์ๆ ในขณะที่ผู้เล่นหน้าใหม่ก็เล่นสบาย เกมก็ยังมีอะไรให้ผู้เล่นมือเก่าได้ตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนกัน เพราะเกมได้เพิ่มระบบท่าต่างๆ มาให้กดใช้ในทุกอาวุธ ยกระดับความซับซ้อนของท่วงท่าต่อสู้ไปอีกขั้น แม้ว่ามันจะเป็นท่าหรือคอมโบที่ไม่ได้กดยากเย็นอะไร แต่กว่าจะใช้ได้ถูกจังหวะ ถูกสถานการณ์ คุณก็ยังต้องอาศัยการฝึกฝนใช้งานเหมือนเดิม เรียกว่ายังคงเป็นเกมเพลย์แบบ Easy to learn but hard to master เหมือนเคย (แต่ก็ต้องยอมรับว่าท่าคอมโบที่เพิ่มมาในหลายอาวุธ ทำให้การสู้กับมอนเป็นอะไรที่ง่ายกว่าเดิมมากตามไปด้วยอีก)

Wilds เป็นเกมภาคแรกของซีรีส์ล่าแย้ที่ Capcom ตั้งใจรังสรรค์เรื่องราวให้มันดูมีน้ำมีเนื้อมากกว่าแค่เป็นบทสอนต้นเรื่อง ซึ่งการออกแบบเนื้อหาและตัวละครสำหรับภาคนี้ต้องบอกว่าทำได้ดีกว่าภาคก่อนมากมายมหาศาล เนื้อเรื่องน่าสนใจมากขึ้น ดูตั้งใจทำแบบจริงจัง มีอะไรให้ติดตามมากว่าภาคก่อนๆ แต่เนื้อหาจะถือว่าดีมั้ยอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นแต่ละคนด้วย โดยส่วนตัวแล้วถ้าไม่นับความเบียวของตัวละครบางตัวและบทพูดอันยืดยาวจนแทบหลับในช่วงท้ายของเกม ตัวเกมก็แทบจะไม่มีอะไรให้ติในจุดนี้ อย่างไรก็ตามแม้เนื้อเรื่องจะเล่าได้อย่างน่าสนใจมากขึ้นแต่เกมเพลย์ก็ยังคงเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเกมเหมือนเดิม ซึ่งภาคนี้หยิบเอาข้อดีจากภาค World และ Rise มาผสมเข้าไว้ในเกมอย่างเด่นชัด อาทิ แผนที่กว้างใหญ่ขึ้นรองรับการเดินทางด้วยสัตว์พาหนะเต็มรูปแบบ มีระบบ spawn มอนเข้าออกฉากสูงสุดได้ถึง 8 ตัวพร้อมกัน (จากเดิมแค่ 3 ตัว) ระบบขี่สัตว์พาหนะที่ควบคุมได้ยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถบังคับขี่เองได้อย่างอิสระและสามารถสั่งให้มันเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่างๆ ได้เหมือนภาค Rise ตามมาด้วยการใช้ Clutch claw แบบใหม่ที่ต่อยอดมาจากภาค World โดยลดบทบาทในการใช้สำหรับต่อสู้ลงแต่ไปเพิ่ม QoL ให้กับผู้เล่นแทน โดยแปลงมันให้สามารถใช้เก็บไอเทมได้จากระยะไกล คุณไม่ต้องมาเสียเวลาวิ่งเก็บนั่นนี่เองอีกแล้ว แค่ขี่นกวิ่งผ่านไกลๆ คุณก็สามารถล็อกเป้าเก็บของได้เลยทันที ชีวิตสะดวกสบายขึ้นมาก ระบบกล้องส่องทางไกลที่สามารถเอาไว้ส่องระบุมงเงินมงทองทันที (มันควรจะมีประโยชน์แบบนี้ซิวะ!) ระบบการสร้างอาวุธเป็นขั้นๆ ที่สร้างแล้วอาวุธชิ้นเดิมไม่หายไปให้คุณเอาไปขายต่อได้ หรือการสร้างอาวุธ Artian ที่เป็นอาวุธพิเศษเทียบได้กับ Artisan Weapon ของภาค Sunbreak หรืออาวุธของ Safi จากภาค World ที่คุณสามารถเข้าถึงได้รวดเร็วมากขึ้น ตลอดจนการแบ่งประเภทของ Decoration อย่างชัดเจนว่าอันไหนใส่ที่อาวุธ อันไหนใส่ที่ชุดเกราะ (ซึ่งอาจทำให้การจัด build ง่ายขึ้นหรือยากกว่าเดิม ขึ้นอยู่กับคุณชอบแบบไหน) ระบบปรุงอาหารแบบใหม่ที่ให้คุณล่าเครื่องปรุงมาทำอาหารเอง (แต่ก็แอบคิดถึงครัวน้องแมวในภาคก่อน) สำหรับเกมเพลย์ในส่วนต่อสู้นั้น มอนสเตอร์แทบจะทุกตัวตั้งแต่ต้นจนจบเกมหลักนับว่าค่อนข้างจะง่ายมากเมื่อเทียบกับภาค Rise และ World การตัดชิ้นส่วนมอนอย่างหางหรือกรงเล็บก็ทำได้ง่ายกว่าเดิมมาก มีระบบปิดแผลของมอนสเตอร์ทำให้ได้ชิ้นส่วนเยอะขึ้น ทำดาเมจได้รัวๆมากขึ้นและทำมอนล้มได้บ่อยมาก แถมมอนในภาคนี้ยังสามารถจับได้แทบจะทุกตัว ทำให้การจบเกมเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว บางตัวตีแค่ 3-4 นาทีจบแล้วก็มี ใครที่ชั่วโมงบินสูงๆ จากภาคก่อนๆมา พอมาเจอภาคนี้คุณอาจจะรู้สึกว่าเกมมันไม่ค่อยจะท้าทายเหมือนภาคอื่นๆ ซึ่งมันก็ไม่แปลก เพราะระบบเกมมันทำมาให้ผู้เล่นใหม่เข้าถึงง่ายนั่นแหละ มอนทั้งเกมผมว่ามีแค่ตัวระดับ 8 นั่นแหละที่พอจะสู้สนุก ตึงมือ ให้อารมณ์เหมือนมอนดุๆในภาค World อะไรแบบนั้น ซึ่งจุดนี้ก็คงต้องรอดูอัพเดตกันยาวๆต่อไป

และสำหรับมือใหม่ที่เล่นเองยังไงก็ไม่ค่อยจะไหว เพื่อนมาช่วยแบกทีไรก็แจกแต้มจนเควสล่ม เกมภาคนี้มีระบบเรียกบอทมาช่วยคุณสู้ด้วย ซึ่งสามารถเรียกได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกม ซึ่งหากเทียบกับภาค Rise แล้วระบบบอทลักษณะนี้จะอยู่ในช่วงท้ายเกมของตัวเสริม Sunbreak และมีให้ใช้ได้แค่ 2 ตัวจากหลายๆตัว แต่สำหรับภาคนี้คุณสามารถเรียกบอทมาแทนคนในเควสได้เลยเต็มๆ 3 ตัว บอททุกตัวไม่กาก ดุดัน บ้าพลังมากพอที่จะพาคุณจบเควสได้ แม้คุณจะไม่ได้ไล่ตีมอนเลยตลอดเควสก็ตามและที่แน่นอนที่สุดคือ พวกมันไม่ตาย! ไม่ว่าจะโดนอะไรขนาดไหนก็ตาม ข้อเสียของบอทก็คือ มันบ้าตีมอนอย่างเดียว ตีจนตาย ถ้าคุณเล็งจะตัดชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อหาชิ้นส่วนพิเศษอย่าง Gem หรือ Medulla การเล่นกับบอทอาจจะไม่ค่อยได้อย่างใจนัก และสำหรับคนที่ชั่วโมงบินสูงๆ หรือเป็นตัวตึงจากภาคก่อนๆมา คุณจะรู้สึกเลยว่าการเล่นกับบอทในภาคนี้ มันทำให้เกมไม่สนุกและขาดความท้าทายไปเลย ด้วยความที่ระบบหลายอย่างมันเอื้ออำนวยผู้เล่นแบบสุดๆ พอมีบอทมาช่วยตีอีก ทุกอย่างมันจึงง่ายไปหมด ข้อดีของบอทคงมีอย่างเดียวคือ เอามาช่วยคนที่เล่นไม่ไหว ถ้าคุณเล่นเองสบายอยู่แล้ว ผมก็ไม่แนะนำให้เอาบอทมาวิ่งเล่นเป็นเพื่อน นอกจากคุณอยากลองเล่นมันขำๆ แค่นั้น เพราะมันจะยิ่งทำให้เกมง่ายจนหมดสนุกไปเลย

ข้อติสำหรับภาคนี้ประการแรกเลยก็คือ ผมรู้สึกว่าคอนเทนด์ในตัวเกมช่วงวันแรกมันค่อนข้างจะน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับภาคอื่น ผมใช้เวลาไปราวๆ 100 ชั่วโมง ถ้าไม่นับการล่ามงก็แทบจะไม่เหลืออะไรให้ทำแล้ว รู้สึกเลยว่าด้วยความที่ระบบอะไรหลายๆอย่างมันเข้าถึงง่ายมากขึ้น การฟาร์มของ ฟาร์มไอเทมทุกอย่าง มันง่ายและไว จนเข้าถึงส่วน Endgame ได้อย่างรวดเร็วมากเกินไป แม้จะเข้าใจว่าลักษณะของเกมซีรีส์นี้คือค่อยๆเพิ่มมอนปล่อยอัพเดตตามมาเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามอนเริ่มต้นมันน้อยไปซักหน่อย event ต่างๆ ก็ยังไม่มีอะไรให้เล่น อันนี้คือคงต้องรอดูว่าการทยอยอัพเดตจะทำได้น่าสนใจแค่ไหน (รวมถึงตัวเสริมในอนาคตด้วย) ประการต่อมาก็คือเรื่องของ Performance ที่ค่อนข้างจะแย่มากในช่วงเกมปล่อยวันแรก ตัวเกมค่อนข้างจะกินสเป็คเวอร์มากบน PC เมื่อเทียบกับกราฟิกที่ได้ ยิ่งเทียบกับ PS5 ที่แสดงผลได้อย่างลื่นไหลกว่าและภาพที่ได้ก็ไม่ได้แตกต่างชัดเจนไปกว่ากัน ทำให้เห็นเลยว่าเกมเวอร์ชั่น PC ยัง Optimize มาได้ดีไม่พอและน่าจะแก้ไขได้อีกด้วย Patch ในอนาคต แม้ว่าเกมเต็มจะแสดงผลได้ดีกว่าตอนปล่อย Beta แล้วก็ตามทีแต่เกมก็ยังมีปัญหาเรื่องความเสถียรอยู่ค่อนข้างมาก เล่นๆอยู่เกมหลุดเกมล่มเกมเด้ง เจอกันแบบสุ่มทุกจังหวะการเล่น แม้จะมี Patch ปล่อยมาแก้ปัญหาไปบ้างแล้วแต่ปัญหาเรี่องการเชื่อมต่อยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ อันนี้ก็คงต้องรอแก้กันไปตลอดอายุเกม (Steamdeck นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รันได้ไม่ถึง 30fps ด้วยซ้ำ) และเรื่องสุดท้ายที่อยากติก็คือ การออกแบบ UI ที่ไม่รู้ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยาก ดูซับซ้อนเกินจำเป็น โดยเฉพาะการดูรายละเอียดในส่วนต่างๆ ทั้งรายละเอียดมอนสเตอร์ ส่วนการเชื่อมต่อ การตั้งห้อง การดูรายชื่อเพื่อน การเซ็ทฟิลเตอร์แผนที่ สภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดจนการดูรายละเอียดของ Skill ต่างๆ ต้องกดเข้าตรงนั้นเข้าตรงนี้ก่อนถึงจะดูได้ (โดยเฉพาะการเชิญเข้า link party ที่ต้องกดเข้าเฉพาะหัวข้อ) ทำไมไม่ทำให้มันง่ายเหมือนภาค Rise หรือ World ที่การสร้างห้องทำได้ง่ายๆ แค่ไม่กี่คลิก หรือการกดดูรายละเอียด Skill ที่กดไม่กี่ปุ่มก็เห็นหมดทั้งตัวว่ามีอะไรบ้าง ก็ไม่เข้าใจว่า Capcom จะทำตรงนี้ให้มันดูยุ่งยากวุ่นวายแยกย่อยเยอะแยะไปทำไม เล่นแรกๆ กดหาอะไรเล่นเอามึนเหมือนกัน (อย่างน้อยก็จนกว่าจะชินนั่นล่ะ)

สรุปสุดท้าย Monster Hunter Wilds คือภาคที่เล่นง่ายที่สุดในซีรีส์ล่าแย้ที่ผ่านมาทั้งหมด คนไม่เคยเล่นและอยากลองก็ควรจะมาเริ่มที่ภาคนี้นี่แหละ ถ้าใครเล่นภาคเก่าๆ ไม่ไหว หัวร้อน แนะนำว่าให้มาลองภาคนี้ ความง่ายและสะดวกสบายของระบบเกมจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น และมันยังช่วยดึงดูดผู้เล่นใหม่ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากคุณเป็นผู้เล่นชั่วโมงบินสูง อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าระบบที่เกมมันนำเสนออาจทำให้ความท้าทายของเกมนั้นลดลงและบางช่วงบางตอนคุณอาจจะเบื่อได้เหมือนกัน อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีอะไรอัพเดตมาใหม่เรื่อยๆ (เพราะมอนมันง่ายจัดๆ) อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ผู้เล่นมือเก๋า จะเล่นเก่งหรือไม่เก่ง สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ Wilds เป็นอีกหนึ่งภาคของซีรีส์ที่เล่นได้สนุกมากๆ โดยเฉพาะเมื่อเล่นกับเพื่อนฝูงขาประจำ แม้เกมจะทำมาเพื่อให้คุณสามารถเล่นคนเดียวจนจบได้ก็ตาม แต่การเล่นกับเพื่อนนั้นมันสามารถมอบประสบการณ์ในการเล่นที่ดีกว่าให้คุณได้จริงๆ แค่เปิดเควส วิ่งเข้าไปล่ามอนด้วยกัน ตีมอนไปคุยกันไป แค่นี้ก็เฮฮาเบียวบ้าบอได้มากๆแล้ว ใครที่มีเพื่อนฝูงชวนไปเล่นหรือสนใจอยู่ แนะนำให้ลองสัมผัสดู ถ้าเช็คสเป็คเครื่องแล้วผ่านก็จัดได้เลย ถ้าคุณคาดหวังความสนุก อันนี้คุณไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

*ตัวเกมไม่ได้ Steamdeck verify และรองรับการแสดงผลแบบ Ultrawide แค่ 21:9 เท่านั้น แต่คุณสามารถแก้ด้วยการลง REFramework เพื่อปลดล็อกอัตราส่วนภาพที่สูงขึ้น เช่น 32:9 ได้ โดยที่การบริโภคสเป็คและเฟรมที่ได้ แทบจะไม่ต่างกัน